Saturday, 12 October 2024

โลกในอนาคต และเส้นเวลาอันไกล

อนาคตของโลก เป็นผลทางชีวภาพ เคมี ธรณีวิทยาและความโน้มถ่วง ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเช่นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์เป็นหนึ่งปัจจัยในการกำหนดอนาคตของโลก

ในรอบหลายร้อยล้านปี โลกมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ครั้งใหญ่เสมอ ในช่วง 50.000 ปีที่จะถึงนี้โลกอาจพบกับการมาของยุคน้ำแข็งจากการส่ายของแกนโลก หลังจากนั้นในช่วง 100,000 ปี ดวงดาวบนฟ้าจะเปลี่ยนตำแหน่ง โลกจะเข้าสู่ระยะเวลาแรกที่เสี่ยงต่อการมาถึงของรังสีแกมมาจากการระเบิดของมหานวดาราของดาว VY Canis Majoris ในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่

หากผ่านพ้นหนึ่งแสนปีแรกมาได้ ในเวลา 500,000ปี โลกต้องเผชิญกับการชนของเทหวัตถุขนาด 1 กิโลเมตร และเมื่อครบ 1,000,000 ปี ดาว Betelgeuse จะระเบิดเป็นมหานวดาราแล้วแน่นอน

ในอีก 250,000,000 – 350,000,000 ปีจะเกิดมหาทวีป อุณหภูมิของโลกจะลดลง หลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะเริ่มสว่างขึ้น อาจเกิดการสูญพันธ์ครั้งใหญ่

เมื่อครบ 400–500 ล้านปีมหาทวีปจะแตกออก อุณภูมิโลกจะสูงขึ้น ที่เวลา 500 ล้านปี รังสีแกมมาพลังงานสูงจะมาถึงโลกจากมหานวดาราในระยะ 6,500 ปีแสง หากรังสีแกมมามีทิศทางมายังโลก

500–600 ล้านปีหลังจากนี้ดวงอาทิตย์สว่างมากขึ้น จนขัดขวางกระบวนการ carbonate–silicate cycle พืชที่สังเคราะห์แสง C3 จะค่อยๆสูญพันธ์

ที่เวลา 1.1 พันล้านปี ความสว่างแสงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นอีก 10% จากปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดบรรยากาศที่จะกลายเป็น “เรือนกระจกชื้น” จากการที่มหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ จากจุดนั้นถ้าทุกชีวิตบนพื้นผิวโลกไม่ได้สูญพันธุ์ไป ชะตากรรมที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคิอที่เวลา 5.4 พันล้านปี ดวงอาทิตย์ใช้ไฮโดรเจนจนหมดและเริ่มที่จะพัฒนาขึ้นเป็นดาวยักษ์แดง และเมื่อถึง 7.9 พันล้านปี การขยายตัวของดวงอาทิตย์อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 256 เท่าของดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน หรืออาจจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 358,400,000 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลให้ดาวพุธ, ดาวศุกร์และอาจจะรวมถึงโลกถูกทำลาย

ปีหลังจากคศ.2000เหตุการณ์

1,000

ความยาวเฉลี่ยของวันสุริยะมีแนวโน้มที่จะเกิน 86,400¹⁄₃₀ วินาทีในมาตรฐาน SI เนื่องจากแรงไทดัลจากดวงจันทร์ทำให้การหมุนของโลกช้าลง ทำให้
การแทรกวินาทีอธิกสุรทินในมาตรฐาน UTC ในปัจจุบันของเมื่อสิ้นเดือน UTC ไม่เพียงพอที่จะทำให้เวลา UTC ถูกต้องในระดับวินาทีตามมาตรฐาน UT1 ตลอดเวลา เพื่อปรับให้เวลาถูกต้อง จำเป็นต้องเพิ่มวินาทีอธิกสุรทินหลายครั้งในช่วงเดือนนั้น หรือจะต้องเพิ่มวินาทีอธิกสุรทินหลายวินาทีเมื่อสิ้นสุดบางเดือนหรือทุกเดือน

10,000ถ้า “ปลั๊กน้ำแข็ง” Wilkes Subglacial Basin ไม่ละลายในอีกไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า ในเวลานี้แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันออกจะละลายจนหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 3-4 เมตร นี่เป็นผลกระทบในระยะยาวของภาวะโลกร้อนนี้อย่างหนึ่ง
10,000ดาวแดงยักษ์ Antares มีแนวโน้มที่จะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา การระเบิดสามารถมองเห็นได้ง่ายบนโลกในเวลากลางวัน
13,000ในเวลานี้ วัฏจักรการส่ายของแกนโลกใช้เวลาครบครึ่งหนึ่ง ความเอียงของแกนโลกจะกลับด้าน ทำให้ฤดูร้อนและฤดูหนาวเกิดขึ้นตรงข้ามกับเดือนในปัจจุบัน ทำให้ภูมิอากาศในซึกโลกเหนือแตกต่างกันรุนแรงกว่าปัจจุบันมาก เนื่องจากในฤดูหนาวดวงอาทิตย์จะอยู่ไกลโลกที่สุด และในฤดูร้อนดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้โลกที่สุด
15,000ตามที่ทฤษฎี Sahara pump theory การส่ายของแกนโลกจะทำให้ North African Monsoon เคลื่อนไปไกลพอที่จะทำให้ซาฮารากลับเข้ามามีสภาพภูมิอากาศเขตร้อนอีกครั้งเช่นเมื่อ 5,000-10,000 ปีที่ผ่านมา ]
17,000เวลาที่แม่นยำสุดในการทำนายการระเบิดของ supervolcanic
“การคุกคามอารยธรรม” ครั่้งใหญ่ที่จะคายวัสดุ pyroclastic ออกมาถึง 1,000 gigatonnes
25,000แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือของดาวอังคารจะลดลง เนื่องจากดาวอังคารถึงจุดที่ร้อนสุดในซีกโลกเหนือในคาบ precession perihelion 50,000 ปีตามวัฏจักร Milankovitch cycle
36,000ดาวแคระแดงขนาดเล็ก Ross 248 จะเคลื่อนเข้าใกล้โลกในระยะ 3.024 ปีแสง กลายเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด แต่จะห่างออกไปอีกหลังจากนั้นประมาณ 8,000 ปี ทำให้Alpha Centauri อยู่ใกล้โลกที่สุด(อีกครั้ง) และGliese 445เป็นดาวที่ใกล้รองลงมา
50,000ตามการศึกษาเบอร์เกอร์และ Loutre (2002) ระยะเวลาของ interglacial
ปัจจุบันจะสิ้นสุดลง โลกจะกลับสู่เป็นยุคน้ำแข็งอีกครั้งโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบของมนุษย์ต่อภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ (2016) ผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์อาจทำให้ยุคน้ำแข็งที่คาดการณ์ไว้ล่าช้าไปอีก 50,000 ปี ทำให้ไม่เกิดยุคน้ำแข็งขึ้น

น้ำตกไนแอการา จะถูกกัดเซาะส่วนที่เหลืออีก 32 กิโลเมตรไปทางทะเลสาบอีรีและสูญหายไปในที่สุด ทะเลสาบน้ำแข็งหลายแห่งของ Canadian Shield จะกลายเป็นผืนดิน
50,000ความยาวของวันทางดาราศาสตร์จะยาวประมาณ 86,401 วินาที จากผลขแงแรงไทดัลของดวงจันทร์ จำเป็นต้องเพิ่มเวลาอธิกสุรทินวินาทีทุกวัน
100,000การเคลื่อนที่เฉพาะของดาวฤกษ์ทั่วทรงกลมท้องฟ้า เป็นผลเกิดเป็น
กลุ่มดาวที่เราไม่รู้จัก
100,000 ดาว VY Canis Majoris ในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา
100,000ไส้เดือนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือเช่น Megascolecidae จะแพร่กระจายไปทางเหนือโดยธรรมชาติจากบริเวณ Upper Midwest ของสหรัฐอเมริกาไปยังชายแดนแคนาดา – สหรัฐอเมริกาโดยฟื้นตัวจากธารน้ำแข็ง Laurentide (38°N ถึง 49°N) โดยมีอัตราการอพยพอยู่ที่ 10 เมตรต่อปี (อย่างไรก็ตาม มนุษย์ได้นำไส้เดือนที่รุกรานจากถิ่นอื่นที่ไม่ใช่พื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือมาใช้ในระยะเวลาที่สั้นกว่ามาก ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนต่อระบบนิเวศในภูมิภาค)
> 100,00010% ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากมนุษย์จะยังคงอยู่ในบรรยากาศ นี่เป็น
หนึ่งในผลกระทบระยะยาวของภาวะโลกร้อน
250,000Lōʻihi ภูเขาไฟที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มภูเขาใต้ทะเล Hawaiian–Emperor seamount chain จะลอยขึ้นเหนือพื้นผิวมหาสมุทรและกลายเป็นเกาะภูเขาไฟแห่งใหม่
300,000 ที่เวลาใดเวลาหนึ่งในไม่กี่แสนปีข้างหน้าดาว Wolf-Rayet WR 104 อาจเกิดการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา มีโอกาสเล็กน้อยที่ WR 104 จะหมุนเร็วพอที่จะทำให้เกิดการระเบิดของรังสีแกมมา และมีโอกาสน้อยกว่าที่รังสีดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตบนโลก
500,000โลกน่าจะโดนดาวเคราะห์น้อยที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 กม.ชน ถ้ามนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
500,000ภูมิประเทศที่ขรุขระของอุทยานแห่งชาติ Badlands ในเซาท์ดาโคตาจะถูกกัดเซาะไปหมด
1 ล้านปีหลุมอุกกาบาตในรัฐแอริโซนาที่ถือว่าเป็นหลุมอุกกาบาตที่ “ใหม่ที่สุด” จะถูกกัดเซาะออกไป
1 ล้านปีเวลาประมาณสูงสุดที่ดาวซุปเปอร์ยักษ์สีแดง Betelgeuse จะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา ซุปเปอร์โนวาจะปรากฏบนโลกในเวลากลางวันเป็นเวลาอย่างน้อยสองสามเดือนที่ การศึกษาแนะนำว่าซุปเปอร์โนวานี้จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งล้านปี หรือแม้แต่ในอีก 100,000 ปีข้างหน้า
1 ล้านปีดวงจันทร์ Desdemona และ Cressida ของดาวยูเรนัสน่าจะชนกัน
1.28 ± 0.05 ล้านปีดาว Gliese 710 จะโคจรใกล้ดวงอาทิตย์ ถึง 0.0676 พาร์เซกหรือ 0.221 ปีแสง (14,000 หน่วยดาราศาสตร์ ) ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป ทำให้สมาชิกของเมฆออร์ตถูกรบกวนด้วยแรงโน้มถ่วง หลังจากนั้นจะเพิ่มโอกาสที่ดาวหางจะชนในระบบสุริยะชั้นใน
2 ล้านปีในตอนนี้ระบบนิเวศแนวปะการังจะฟื้นตัวจากการเป็นกรดของมหาสมุทรที่เกิดจากมนุษย์
2 ล้านปี+แกรนด์แคนยอนจะกัดกร่อนเพิ่มเติมเล็กน้อย เป็นหุบเขากว้างรอบแม่น้ำโคโลราโด
2.7 ล้านปีคาบโคจรครึ่งหนึ่งของดาวเซนทอร์ที่โคจรไม่เสถียรเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของการปฏิสัมพันธ์ของหลายดาวเคราะห์ชั้นนอก
3 ล้านปีเนื่องจากการหมุนของโลกช้าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หนึ่งวันบนโลกจะยาวนานกว่าวันนี้หนึ่งนาที
10 ล้านปีทะเลแดงจะท่วมหุบเขา East African Rift ทำให้เกิดแอ่งน้ำทะเลใหม่จะแบ่งทวีปของแอฟริกา
10 ล้านปีเวลาโดยประมาณที่สิ่งมีชีวิตจะฟื้นฟูจากการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ แม้ว่าการสูญพันธ์จะไม่เกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ก็จะหายไปหรือวิวัฒนาการเป็นพันธ์ใหม่
10 ล้าน – 1 พันล้านปีดวงจันทร์คิวปิดและเบลินดาของดาวยูเรนัสมีแนวโน้มที่จะชนกัน
50 ล้านปีเวลาสูงสุดที่ดวงจันทร์โฟบอสจะชนกับดาวอังคาร
50 ล้านปีแผ่นเปลือกโลกแอฟริกาและยูเรเซียจะชนกันเกิดเป็นเทือกเขาคล้ายหิมาลัย
50-60 ล้านปีเทือกเขาร็อกกี้แคนาดาจะกัดกร่อนจนเป็นที่ราบอัตรา 60 หน่วย Bubnoff ด้านใต้ของเทือกเขาร็อกกี้ในสหรัฐอเมริกามีการกัดเซาะในอัตราที่ค่อนข้างช้ากว่า
50–400 ล้านปีเวลาโดยประมาณที่โลกจะมีเชื้อเพลิงฟอสซิลสำรองตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น
80 ล้านปีเกาะ Big Island ของหมู่เกาะฮาวายที่จะจมอยู่ใต้พื้นผิวของมหาสมุทรในขณะที่ “หมู่เกาะฮาวายใหม่” จะเกิดขึ้นมาแทน
100 ล้านปีโลกน่าจะโดนดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเทียบได้กับดาวเคราะห์น้อยที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ K–Pg เมื่อ 66 ล้านปีก่อน ถ้าสิ่งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
100 ล้านปีตามแบบจำลอง Pangea Proxima ที่สร้างขึ้นโดย Christopher R. Scotese เขตมุดตัวใหม่จะเปิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกและอเมริกาจะรวมตัวกับแอฟริกา
100 ล้านปีค่าประมาณอายุสูงสุดของวงแหวนของดาวเสาร์ในปัจจุบัน
110 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะสว่างเพิ่มขึ้น 1%
180 ล้านปีหนึ่งวันบนโลกจะยาวนานกว่าวันนี้หนึ่งชั่วโมง
230 ล้านปีในเวลาหลังจากนี้เราไม่สามารถทำนายวงโคจรของดาวเคาระห์ได้จากข้อจำกัดเวลาของ Lyapunov
240 ล้านปีระบบสุริยะโคจรครบรอบแกแล็กซี่ทางช้างเผือก
250 ล้านปีตามคำทำนายของคริสโตเฟอร์ อาร์. สกอเตส ชายฝั่งของแคลิฟอร์เนียจะชนกับอลาสก้า
250–350 ล้านปีทุกทวีปบนโลกอาจรวมเป็น supercontinent มีสามกรณีคือ Amasia , Novopangaea และ Pangea Ultima โลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง น้ำทะเลลดระดับและเพิ่มระดับออกซิเจน ทำให้อุณหภูมิโลกลดลง
> 250 ล้านปีวิวัฒนาการทางชีววิทยาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการก่อตัวของมหาทวีปทำให้อุณหภูมิต่ำลงและระดับออกซิเจนสูงขึ้น การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างสปีชีส์ต่างๆ อันเนื่องมาจากการก่อตัวของมหาทวีป แต่การปะทุของภูเขาไฟที่เพิ่มขึ้น และสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนจากดวงอาทิตย์ที่สว่างขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ซึ่งชีวิตพืชและสัตว์อาจไม่ฟื้นตัวเต็มที่
300 ล้านปีเนื่องจากการเพิ่มของของ equatorial Hadley cells ไปทางเหนือและใต้ประมาณ 40° ปริมาณพื้นที่แห้งแล้งจะเพิ่มขึ้น 25% [65]
300–600 ล้านปีเวลาโดยประมาณที่อุณหภูมิชั้นแมนเทิลองดาวศุกร์ถึงค่าสูงสุด จากนั้นในช่วงเวลาประมาณ 100 ล้านปี จะเกิดการมุดตัวครั้งใหญ่และเปลือกโลกพลิกกลับ
350 ล้านปีตามแบบจำลอง extroversion ที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดย Paul F. Hoffman การมุดตัวของเปลืกโลกจะสิ้นสุดลงในมหาสมุทรแปซิฟิก
400–500 ล้านปีมหาทวีป (Pangaea Ultima, Novopangaea หรือ Amasia) จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นคล้ายกับยุค Cretaceous
500 ล้านปีเวลาโดยประมาณที่รังสีแกมมาพลังงานสูงจากซูเปอร์โนวาในระยะ 6,500 ปีแสงจะส่งผลกระทบต่อชั้นโอโซนของโลก และอาจก่อให้เกิดการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการสูญพันธ์ในเหตุการณ์ Ordovician-Silurian หากสมมติฐาน Ordovician-Silurian ถูกต้อง อย่างไรก็ตามซุปเปอร์โนวาจะต้องมีทิศสัมพันธ์กับโลกอย่างแม่นยำจึงจะมีผลเช่นนั้น
600 ล้านปีดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกเกินกว่าที่จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อีกต่อไป
500–600 ล้านปีดวงอาทิตย์จะสว่างมากขึ้นจนขัดขวางกระบวนการ carbonate–silicate cycle น้ำจะระเหยไปหมด ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลง พืชที่สังเคราะห์แสง C3 จะค่อยๆสูญพันธ์
500–800 ล้านปีเมื่อโลกเริ่มร้อนขึ้นและระดับคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำลง สิ่งมีชีวิตจะวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตกินสัตว์ และปรับตัวให้อยู่รอด โลกจะเต็มไปด้วยทะเลทราย และสิ่งมีชิตจะพบได้ในทะเลมากว่าทั้งพืชและสัตว์
800–900 ล้านปีเมื่อระดับคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงจนถึงจุดที่พืช C4 ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้อีกต่อไป ออกซิเจนอิสระและชั้นโอโซนจะหายไปจากชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับแสงยูวีที่ร้ายแรงมาถึงพื้นผิว ในหนังสือThe Life and Death of Planet Earth ผู้เขียนPeter D. WardและDonald Brownlee ระบุว่าสัตว์บางชนิดอาจสามารถอยู่รอดได้ในมหาสมุทร อย่างไรก็ตามในที่สุด สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ทั้งหมดจะตายหมด ในที่สุดชีวิตสัตว์สามารถอยู่รอดได้ประมาณ 100 ล้านปีหลังจากพืชตาย สัตว์ที่รอดได้จะเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพืช เช่นปลวกหรือ เช่น เวิร์ม ของสกุล Riftia สิ่งชีวิตเดียวที่เหลืออยู่บนโลกหลังจากนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
1 พันล้านปี]27% ของมวลมหาสมุทรจะถูกดูดกลืนเข้าไปในชันแมนเทิลของโลก หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ขาดตอน มันจะเข้าสู่สมดุลเมื่อน้ำ 65% ของมหาสมุทรหายไป
1.1 พันล้านปีความสว่างของดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกมีค่าประมาณ 320 K (47 °C). ชั้นบรรยากาศจะกลายเป็น “ภาวะเรือนกระจกชื้น”, เนื่องจากการระเหยของมหาสมุทร น้ำบางส่วนยังคงเป็นของเหลวในบริเวณขั้วโลก และยังสามารถเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตพื้นฐาน
1.2 พันล้านปีเวลานานสุดที่พืชจะตาย หากพืชสามารถอยู่ในสภาวะที่คาร์บอนไดออกไซด์ต่ำได้ หลังจากนี้อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สัตว์ล้มตาย
1.3 พันล้านปีสิ่งมีชีวิตยูคาริโอตตายหมดเนื่องจากขาดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เหลือเพีย ง สิ่งมีชีวิต prokaryotes
1.5–1.6 พันล้านปีดวงอาทิตย์สว่างมากขึ้นทำให้เขตที่อยู่อาศัยของดาวฤกษ์เคลื่อนออกไปด้านนอก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในดาวอังคารทำให้อุณหภูมิพื้นผิวของมันเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่คล้ายกับโลกในช่วงยุคน้ำแข็ง
1.6 พันล้านปีเวลาประมาณเร็วสุดที่สิ่งมีชีวิตโปรคาริโอตทั้งหมดจะสูญพันธุ์
2 พันล้านปีเวลาประมาณการสูงสุดที่มหาสมุทรของโลกระเหย ถ้าความดันบรรยากาศจะลดลงผ่านวัฏจักรไนโตรเจน
2.3 พันล้านปีแกนชั้นนอกของโลกเย็น หากแกนในยังคงเติบโตในอัตราปัจจุบันที่ 1 มม. (0.039 นิ้ว) ต่อปี เมื่อไม่มีแกนนอกที่เป็นของเหลว สนามแม่เหล็กของโลกจะหายไป และอนุภาคที่มีประจุซึ่งเล็ดลอดออกมาจากดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ทำลายชั้นบรรยากาศ
2.55 พันล้านปีดวงอาทิตย์จะมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงสุดที่ 5,820 K (5,550 °C; 10,020 °F) จากนั้นจะค่อยๆ เย็นลงในขณะที่ความสว่างจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2.8 พันล้านปีอุณหภูมิพื้นผิวโลกจะอยู่ที่ประมาณ 420 K (147 °C; 296 °F) แม้แต่ที่ขั้วโลก
2.8 พันล้านปีสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ได้ลดลงเป็นอาณานิคมที่มีเซลล์เดียวในสภาพแวดล้อมจุลภาคที่แยกตัวและกระจัดกระจาย เช่น ทะเลสาบหรือถ้ำบนที่สูงจะสูญพันธุ์
3 พันล้านปีมีโอกาสประมาณ 1 ใน 100, 000 ที่โลกอาจถูกผลักออกสู่อวกาศ และมีโอกาส 1 ใน 3 ล้านที่จะถูกจับจากดาวดวงอื่น หากสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งมีชีวิต สมมติว่ามันรอดชีวิตจากการเดินทางระหว่างดวงดาว อาจดำเนินต่อไปได้อีกนาน
3 พันล้านปีมัธยฐานจุดที่เพิ่มขึ้นในระยะที่ดวงจันทร์จากโลกช่วยลดผลกระทบต่อเสถียรภาพของตนในโลกแกนเอียง ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนตัวของขั้วโลกที่แท้จริงของโลกจึงกลายเป็นเรื่องโกลาหลและสุดขั้ว นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสภาพอากาศของดาวเคราะห์อันเนื่องมาจากความลาดเอียงของแกนที่เปลี่ยนแปลงไป [91]
3.3 พันล้านปีมีโอกาส 1% ที่แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีอาจทำให้วงโคจรของดาวพุธผิดปกติจนชนกับดาวศุกร์ ส่งผลให้ระบบสุริยะรอบใกล้เกิดความโกลาหล สถานการณ์ที่เป็นไปได้ คือ ดาวพุธชนกับดวงอาทิตย์ ถูกขับออกจากระบบสุริยะ หรือชนกับโลก
3.5–4.5 พันล้านปีน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ในมหาสมุทร (ถ้าไม่หายไปก่อนหน้านี้) จะระเหย ภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากชั้นบรรยากาศขนาดใหญ่ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบรวมกับความส่องสว่างของดวงอาทิตย์ที่สูงกว่าค่าปัจจุบันประมาณ 35-40% จะส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 K (1,130 °C; 2,060 °F) ร้อนพอที่จะละลายหินพื้นผิวบางส่วนได้
3.6 พันล้านปีดวงจันทร์ไทรทันของดาวเนปจูน ตกผ่านขึดจำกัด Roche อาจแตกเป็นวงแหวนคล้ายกับดาวเสาร์
4.5 พันล้านปีดาวอังคารรับแสงอาทิตย์เท่ากับโลกเมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน

< 5  พันล้านปี
ดาราจักรแอนดรอเมดาจะรวมกับดาราจักรทางช้างเผือกโดยสมบูรณ์ ซึ่งหลังจากนั้นจะดาราจักรจะรวมกันและมีชื่อว่าดาราจักร”Milkomeda”.
5.4 พันล้านปีดวงอาทิตย์ใช้ไฮโดรเจนจนหมดและเริ่มที่จะพัฒนาขึ้นเป็นดาวยักษ์แดง
6.5 พันล้านปีดาวอังคารรับรังสีดวงอาทิตย์เท่าๆ กับโลกในทุกวันนี้ หลังจากนั้น ดาวอังคารจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับโลกดังที่อธิบายไว้ข้างต้น
7.5 พันล้านปีโลกและดาวอังคารเกิดไทดัลล็อก(Tidal locking) กับดวงอาทิตย์ที่ขยายตัว
7.59 พันล้านปีโลกและดวงจันทร์มีแนวโน้มที่จะถูกทำลายโดยการตกลงสู่ดวงอาทิตย์ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะถึงจุดสิ้นสุดของระยะดาวยักษ์แดงและมีรัศมีสูงสุด 256 เท่าของค่าในปัจจุบัน  ก่อนการชนกันครั้งสุดท้าย ดวงจันทร์อาจหมุนวนต่ำกว่าขีดจำกัด Roche ของโลก และแตกออกเป็นวงแหวนของเศษซาก ซึ่งส่วนใหญ่ตกลงสู่พื้นผิวโลก ในช่วงเวลานี้ ดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์อาจมีอุณหภูมิพื้นผิวที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
7.9 พันล้านปีการขยายตัวของดวงอาทิตย์อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 256 เท่าของดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน หรืออาจจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 358,400,000 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลให้ดาวพุธ, ดาวศุกร์และอาจจะรวมถึงโลกถูกทำลาย
8 พันล้านปีในเวลานี้ ดวงอาทิตย์เป็น ดาวแคระขาวที่ประกอบด้วยคาร์บอน และ ออกซิเจน ด้วยมวล 54.05 เปอร์เซนต์ของมวลดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน
22 พันล้านปีจุดจบของจักรวาลในรูปแบบของการฉีกขาดครั้งใหญ่ (Big Rip) รูปแบบของพลังงานมืดเป็นแบบ w = -1.5.[45] การสังเกตกระจุกกาแล็กซี่ที่ถูกเร่งความเร็วโดย Chandra X-ray Observatory บอกว่าสิ่งนี้จะไม่เกิด
50 พันล้านปีสมมติว่าถ้าเรารอดจากการขยายตัวของดวงอาทิตย์ ในเวลานี้โลกและดวงจันทร์จะไทดัลล็อก(tidelocked) ซึ่งไม่ว่าจะอยู่บนดาวดวงไหนก็จะเห็นอีกดวงแค่ด้านเดียว[47] หลังจากนั้น ปฏิกิริยาไทดัล(tidal action) ของดวงอาทิตย์จะดึงโมเมนตัมเชิงมุมออกจากระบบ ทำให้วงโคจรของดวงจันทร์เสื่อมลงและโลกจะหมุนเร็วขึ้น[48]
65 พันล้านปีดวงจันทร์อาจชนกับโลกเนื่องจากการลดระดับโคจร สมมติว่าโลกและดวงจันทร์ไม่ได้ถูกดวงอาทิตย์ยักษ์แดงกลืนกิน
100–150 พันล้านปีการขยายตัวของเอกภพ ทำให้ดาราจักรทั้งหมดเคลื่อนออกไปไกลจากกลุ่มท้องถิ่นของทางช้างเผือกจนเลยออกไปจากแนว cosmic light horizon และถูกลบเลือนไปจากเอกภพที่สังเกตได้
150 พันล้านปีรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลจะเย็นลงจากอุณหภูมิประมาณ 2.7 K ถึง 0.3 K ทำให้ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน
450 พันล้านปีตำแหน่งมัธยฐานของ ประมาณ 47 ดาราจักร ของกลุ่มท้องถิ่นจะรวมกันเป็นดาราจักรขนาดใหญ่แห่งเดียว
800 พันล้านปีเวลาที่คาดการณ์ไว้ที่การปล่อยแสงจากดาราจักร Milkomeda จะลดลง ในขณะที่ดาวแคระแดงข้ามพ้นระยะ”ดาวแคระน้ำเงิน”ซึ่งสว่างที่สุด
10^12 (1 ล้านล้านปี)เวลาที่น้อยที่สุดที่ประมาณการไว้ เมื่อการกำเนิดดาวฤกษ์ไม่มีอีกต่อไปในกาแล็กซี ในขณะที่กาแล็กซี่ใช้กลุ่มแก๊สที่จำเป็นต่อการสร้างดาวฤกษ์ใหม่ไปจนหมด
การขยายตัวของเอกภพที่คาดว่าเป็นความหนาแน่นของพลังงานมืดที่คงตัว จะทำให้ความยาวคลื่นของรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลเพิ่ม 1029 เท่า เกินสเกล cosmic light horizon และจะตรวจจับมันซึ่งเป็นหลักฐานของบิกแบงไม่ได้อีก อย่างไรก็ตามสามารถวัดการขยายตัวของเอกภพได้จากการศึกษาดาวที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
3×10^13 (30 ล้านล้านปี)เวลาที่ประมาณการไว้ที่ดาวฤกษ์จะผ่านเข้ามาใกล้ดาวฤกษ์อื่นในละแวกเพื่อนบ้าน เมื่อดาวฤกษ์สองดวงผ่านใกล้กัน วงโคจรดาวเคราะห์ของพวกมันจะถูกทำลายและจะหลุดออกจากระบบ โดยเฉลี่ย ยิ่งวงโคจรดาวเคราะห์ใกล้ดาวฤกษ์เท่าไร มันยิ่งใช้เวลานานที่จะหลุด เพราะวงโคจรของมันแน่นเป็นผลจากแรงโน้มถ่วง[54]
10^14 (100 ล้านล้านปี)เวลาที่มากที่สุดที่ประมาณการไว้ เมื่อการกำเนิดดาวฤกษ์ไม่มีอีกต่อไปในกาแล็กซี จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนจาก ยุคแห่งดวงดาว(Stelliferous Era) ไปยัง ยุคเสื่อม(Degenerate Era) ซึ่งเป็นยุคที่ไม่มีไฮโดรเจนอิสระสำหรับสร้างดาวฤกษ์ดวงใหม่อีกแล้ว ดาวฤกษ์ที่เหลือค่อยๆใช้เชื้อเพลิงหมดและตายลง
1.1–1.2×10^14 (110–120 ล้านล้านปี)เวลาที่ดาวฤกษ์ทุกดวงในเอกภพใช้เชื้อเพลิงจนหมด (ดาวที่อายุยืนที่สุด ดาวแคระแดงมวลน้อยมีช่วงชีวิตประมาณ 10–20 ล้านล้านปี[52] หลังจากจุดนี้ วัตถุที่มีมวลที่ยังเหลืออยู่คือเศษดาว ได้แก่ ดาวแคระขาว ดาวนิวตรอน และหลุมดำ ดาวแคระน้ำตาลยังคงอยู่เช่นกัน
การชนกันระหว่างดาวแคระน้ำตาลจะสร้างดาวแคระแดงใหม่ โดยเฉลี่ยมีดาวฤกษ์ประมาณ 100 ดวง ที่ยังส่องแสงในที่ที่เคยเป็นทางช้างเผือก การชนกันของเศษดาวมีโอกาสทำให้เกิดซูเปอร์โนวา

1015 (1 พันล้านล้านปี)
เวลาโดยประมาณที่ดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะเราและระบบดาวฤกษ์อื่นจะหลุดออกนอกวงโคจร
ในเวลานี้, ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระดำและมีอุณหภูมิเหนือศูนย์องศาสัมบูรณ์อยู่แค่ 5 องศาเซลเซียสเท่านั้น

1019–1020 (10–100 ล้านล้านล้านปี)
เวลาโดยประมาณที่ 90%–99% ของดาวแคระน้ำตาลและเศษดาว (รวมทั้งดวงอาทิตย์) จะหลุดออกนอกกาแล็กซี เมื่อวัตถุสองชิ้นเข้าไกลกันมากพอ พวกมันจะแลกเปลี่ยนพลังงานของวงโคจรกับวัตถุมวลน้อยกว่าเพื่อที่จะได้รับพลังงาน ด้วยวิธีนี้ซ้ำๆ วัตถุมวลน้อยจะได้พลังงานเพียงพอที่จะหลุดออกจากกาแล็กซี่ กระบวนการนี้ทำให้ดาวแคระน้ำตาลและเศษดาวส่วนใหญ่หลุดออกจากทางช้างเผือก

1020 (100 ล้านล้านล้านปี)
เวลาโดยประมาณที่โลกจะชนกับดวงอาทิตย์ที่เป็นดาวแคระดำเพราะการเสื่อมของวงโคจรผ่านทางการปลดปล่อยรังสีความโน้มถ่วง[58] ถ้าโลกไม่หลุดจากวงโคจรก่อนเมื่อดาวฤกษ์เคลื่อนใกล้กันหรือดูดกลืนโดยดวงอาทิตย์ระยะดาวยักษ์แดง

1030

เวลาโดยประมาณที่ดาวที่ยังไม่หลุดจากกาแล็กซี่ (1% – 10%) จะตกลงไปในหลุมดำมวลยวดยิ่งใจกลางกาแล็กซี ณ จุดนี้ ดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่จะพุ่งเข้าหากัน ดาวเคราะห์จะพุ่งเข้าหาดาวฤกษ์ของมัน ผ่านทางการปลดปล่อยรังสีความโน้มถ่วง (gravitational radiation) มีเพียงวัตถุที่อยู่โดดเดี่ยวได้แก่ เศษดาว ดาวแคระน้ำตาล ดาวเคราะห์ที่หลุดจากวงโคจร และ หลุมดำ ที่ยังคงอยู่ในเอกภพ

2×1036

เวลาโดยประมาณของนิวคลีออนทั้งหมดในเอกภพที่สังเกตได้จะสลายตัว เมื่อครึ่งชีวิตของโปรตอนเป็นค่าที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ ก็คือ 8.2×10ูู^33 ปี

3×1043


เวลาโดยประมาณของนิวคลีออนทั้งหมดในเอกภพที่สังเกตได้จะสลายตัว เมื่อครึ่งชีวิตของโปรตอนเป็นค่าที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ ก็คือ 1041 ปี เนื่องจากว่าบิกแบงทำให้เกิดการขยายตัว และกระบวนการเดียวกันนี้ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้แบริออนมีมากกว่าแอนติแบริออนในจักรวาลระยะแรก จะทำให้โปรตอนสลายตัวในช่วงเวลานี้, ถ้าโปรตอนสลายตัว ยุคหลุมดำ(Black Hole Era) ซึ่งหลุมดำเป็นวัตถุชนิดเดียวที่เหลืออยู่ในเอกภพ ได้เริ่มขึ้น


1065

สมมติว่าโปรตอนไม่สลายตัว นี่เป็นเวลาประมาณการสำหรับวัตถุที่แข็งจะจัดเรียงอะตอมและโมเลกุลใหม่ผ่าน อุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) สสารทุกอย่างจะกลายเป็นของเหลว

5.8×1068

เวลาที่ประมาณการไว้ที่หลุมดำมวล 3 เท่าของดวงอาทิตย์จะสลายตัวเป็นอนุภาคเล็กกว่าอะตอมโดยกระบวนการของฮอว์คิง (Hawking process)

1.342×1099

เวลาที่ประมาณการไว้ที่ หลุมดำใจกลางของ S5 0014+81,ซึ่งเป็นวัตถุที่มีมวลมากที่สุดที่รู้จักในปี 2015 มีมวล 40 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ เหือดหายไปโดยปล่อยรังสีฮอว์คิง (Hawking radiation) โดยโมเมนตัมเชิงมุมเป็นศูนย์(ไม่ใช่หลุมดำที่หมุน) อย่างไรก็ตาม หลุมดำกำลังขยาย เวลาที่ใช้อาจจะนานกว่านี้

1.7×10106

เวลาที่ประมาณการไว้เมื่อหลุมดำมวลยวดยิ่งที่มีมวล 20 ล้านล้านเท่าของดวงอาทิตย์ สลายตัวไปโดยกระบวนการของฮอว์คิง (Hawking process)[61] นี่เป็นจุดจบของยุคหลุมดำ(Black Hole Era) หลังจากนี้ถ้าโปรตอนสลายตัว จักรวาลจะเข้าสู่ยุคมืด(Dark Era) ซึ่งเป็นยุคที่วัตถุทางกายภาพทุกอย่างจะสลายตัวไปเป็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม ค่อยๆเข้าสู่สถานะพลังงานสุดท้าย(final energy state)ในระยะฮีทเดธ(Heat Death)ของจักรวาล

10200

เวลาที่มากที่สุดที่ประมาณการไว้ เมื่อนิวคลีออนในเอกภพที่สังเกตเห็นได้ สลายตัวไป ถ้ามันไม่ผ่านกระบวนการด้านบน มันจะผ่านกระบวนการอื่นๆในฟิสิกส์อนุภาคสมัยใหม่ เช่น higher-order baryon non-conservation processes, virtual black holes, sphalerons และอื่นๆ ในช่วงเวลา1046 – 10200 ปี

101500

สมมติว่าโปรตอนไม่สลายตัว นี่เป็นเวลาที่ประมาณการไว้เมื่อสสารแบริออนทั้งหมดรวมกันเป็น เหล็ก-56 หรือสลายจากธาตุมวลมากกว่านี้เป็น เหล็ก-56

10^(10^(26))
เวลาที่น้อยที่สุดที่ประมาณการไว้เมื่อวัตถุทุกอย่างที่เกินมวลของพลังค์ (Planck mass) สลายผ่านอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) เป็นหลุมดำ (ถ้าไม่มีการสลายตัวของโปรตอน หรือ virtual black holes) ในเวลาที่ยาวนานนี้เอง เหล็กที่เสถียรอย่างมากจะถูกทำลายด้วยอุโมงค์ควอนตัม ดาวเหล็กดวงแรกที่มวลเพียงพอจะสลายผ่านอุโมงค์เป็นดาวนิวตรอน ต่อมาดาวนิวตรอนและดาวเหล็กอื่นๆจะสลายผ่านอุโมงค์เป็นหลุมดำ การสลายของหลุมดำในเวลาต่อมาไปสู่อนุภาคเล็กกว่าอะตอม(กระบวนการใช้เวลาประมาณ 10^100 ปี) จะเกิดขึ้นในสเกลเวลานี้ด้วย


10^(10^(50))
เวลาที่ประมาณการไว้ที่ Boltzmann brain ปรากฏในสูญญากาศผ่านทางการลดลงของเอนโทรปี


10^(10^(76))
เวลาที่ช้าที่สุดที่ประมาณการไว้ที่ทุกสสารกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ (ถ้าไม่มีการสลายตัวของโปรตอน หรือ virtual black holes) และต่อมาจะสลายเป็นอนุภาคเล็กกว่าอะตอมในสเกลเวลานี้ด้วย


10^(10^(120))
เวลาที่ช้าที่สุดที่จักรวาลจะถึงสถานะพลังงานสุดท้าย(final energy state) หรือแม้แต่การเกิด false vacuum

10^(10^(10^(56)))
เวลาที่ประมาณการไว้ เมื่อการกระเพื่อมแบบควอนตัมแบบสุ่ม (random quantum fluctuation) และอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) จะสร้างบิกแบงใหม่
เพราะจำนวนวิธีที่ทุกอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมในเอกภพที่สังเกตเห็นได้จะรวมตัว คือ 10^(10^(115)) วิธี จำนวนนี้เมื่อคูณด้วย 10^(10^(10^(56))) จึงเกิดการerror นอกจากนี้นี่เป็นเวลาที่การกระเพื่อมแบบควอนตัม (quantum fluctuation) และอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) จะสร้างจักรวาลใหม่คล้ายกับของเรา สมมติว่าทุกจักรวาลประกอบไปด้วยอนุภาคเล็กกว่าอะตอมอย่างน้อยจำนวนเท่านี้ และปฏิบัติตามกฎของฟิสิกส์ที่อยู่ในขอบเขตที่ถูกทำนายโดยทฤษฎีสตริงอย่างง่าย ภายในเวลานี้ วัฏจักรชีวิตทั้งหมดของจักรวาลจากบิกแบง (Big Bang) ถึงสถานะพลังงานสุดท้าย (final energy state) ถึงการเกิดใหม่ จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นจำนวนครั้งเท่ากับจำนวนวิธีที่เป็นไปได้ของการรวมอนุภาคเล็กกว่าอะตอมในจักรวาลที่สังเกตเห็นได้