เครื่องสายในดนตรีสากลอื่นๆ เช่น ไวโอลิน เซลโล นั้นถูกต้้งสายด้วยขั้นคู่ 5 เพื่อให้การเล่นโซโล่ทำได้ง่าย ในขณะที่กีต้าร์นั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นทั้งโซโล่ และคอร์ดไปพร้อมๆกัน
หากเราจินตนาการว่าสานกีตาร์ตั้งด้วยคู่ 5 ทั้งหมด เราจะเล่นคอร์ดได้ยากมาก เพราะโน้ตแต่ละสายจะอยู่ห่างกันมากกว่า 2 เฟรท เช่นเดียวกับการที่กีต้าร์มีการตั้งสายด้วยคู่ 4 ก็จะทำให้เสียงห่างกันตั้งแต่ 1 เฟรทขึ้นไป
หากเราตั้งสายให้เป็นคู่ 4 ทั้งหมด เราจะได้โน้ตแต่ละสายเป็น EADGCF ซึงเราจะพบว่า สาย 6 กับสาย 1 เป็นขั้นคู่ 2 ไมเนอร์ ซึ่งให้เสียงที่กัดกันมาก การเล่นคอร์ดที่มีสองสายนี้จึงให้เสียงที่ไม่ไพเราะ และเราจะกดคอร์ดทาบไม่ได้เลย
การตั้งสายด้วยคู่ 4 และคู่ 3 ในสายที่ 2 ตามด้วยคู่ 4 ในสายที่ 1 การตั้งสายเช่นนี้ทำให้กีตาร์มีโน้ตจากสาย 6 ไปสาย 1 เป็น EADGBE ซึ่งเราจะพบว่าทำให้การกดคอร์ดทำได้ง่ายในเกือบทุกชนิดคอร์ด และการเล่นคอร์ดทาบสามารถเป็นไปได้
นอกจากนี้การตั้งสายกีต้าร์แบบปัจจุบันยังเป็นการสมดุลระหว่างการเล่นสเกลหรือโซโล่ และคอร์ด เพราะหากเราต้องการไล่สเกลเพื่อเล่นโซโล่ นักกีตาร์สามารถไล่สเกลทั้ง 12 ได้ไม่ยากมากนัก และสามารถขยับเพียง 1 เฟรท หรือ 2 เฟรท เพื่อเปลี่ยนคีย์ และไล่สเกลได้ทั้งคอกีตาร์
อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการเล่นสเกลหรือโซโลเพียงอย่างเดียว และต้องการการโซโล่เร็วๆ เราอาจตั้งสายแบบอื่นได้ โดยที่อาจเสียความสามารถในการเล่นคอร์ด หรือไล่สเกลในบางคีย์ได้ยากขึ้นนั่นเอง