“ช่างมืดมน เวิ้งว้างและหนาวเหน็บ”
คือคำตอบที่ได้รับแทบทุกครั้งเมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องที่เขาสนใจ
ย้อนกลับไปราว 15 ปีขณะที่เขาเริ่มจำความได้
ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองหลวง เด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังหนึ่งกับบิดาและมารดาของเขา ผักกาดคือชื่อของเด็กคนนี้ ตั้งแต่เล็กผักกาดก็สนใจเรื่องของอวกาศมาตั้งแต่จำความได้
คืนหนึ่งขณะที่ผักกาดเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน ผักกาดมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและถามพ่อของผักกาดว่าบนนั้นคืออะไร พ่อของผักกาดจึงตอบว่า “อวกาศไงลูก” “ผักกาดอยากขึ้นไปบนนั้นหรือ” ผักกาดส่ายหน้าแล้วนิ่งเฉย แต่สายตายังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กตัวน้อยคนหนึ่ง
หลายวันต่อมา ผักกาดวัย 3 ขวบกำลังเดินอยู่หน้าบ้าน เสียงเล็กใสๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ผักกาดอยากขึ้นไปบนอวกาศเหรอ” ผักกาดหันหน้าไปตามเสียงนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น พิมอายุไล่เลี่ยกับผักกาด เธออาศัยอยู่หน้าบ้านของผักกาด เธอเดินเข้ามาใกล้ผักกาด แล้วถามว่า
“อวกาศมันไกลมากนะ”
“แล้วเราไปบนนั้นได้ไหม” ผักกาดถามด้วยความสงสัย
“คงไม่มีใครอยากไปบนนั้นหรอกผักกาด” พิมตอบ
“ทำไมล่ะ” ผักกาดถามต่อ
“เราไม่อยากให้เธอไปนะ” พิมอธิบาย
สิ้นคำอธิบายพิมก็เดินกลับเข้าบ้านไป ผักกาดที่ยังเล็กรู้สึกงุนงงกับคำตอบนัก เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พิมต้องการบอก แต่แล้วเสียงเรียกของแม่ผักกาดก็ดังขึ้น ผักกาดเดินตามเสียงแม่ของเขาไปและพบกับคนที่ผักกาดคุ้นเคย แม่ของผักกาดนั่นเอง
ค่ำวันนี้ระหว่างที่ผักกาดกินข้าว ชายร่างสมส่วน นัยน์ตาเล็ก ผิวขาวก็เปิดประตูเข้ามา เขาคือพ่อของผักกาดนั่นเอง เมื่อทั้งหมดกินข้าวเสร็จ พ่อของผักกาดถามแม่ผักกาดว่า วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
พ่อและแม่ของผักกาดคุยกันสักพักหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ขึ้นไปนอน เช้าวันต่อมาพ่อของผักกาดกล่าวขึ้นมาว่า “เราจะไปอยู่ที่อื่นเดือนหน้ากันนะแม่”
การลาจากคงอยู่เกินความเข้าใจของผักกาด ผักกาดไม่รู้แม้แต่ความหมายของการลาจากว่าคืออะไร แต่ในไม่ช้านี้ผักกาดจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว
ผ่านไปหลายวัน ผักกาดที่ยังไม่เข้าเรียนหนังสือเริ่มนึกถึงเด็กหญิงที่เขาเจอที่หน้าบ้าน และเรื่องอวกาศ มันคงมีอะไรสักอย่างหนึ่ง “เอาละเดี๋ยวผักกาดจะลองออกไปเดินดูข้างนอกอีกครั้งว่าจะเจอเด็กผู้หญิงคนเดิมหรือไม่ในวันรุ่งขึ้น และวันนี้พอเวลามืดลงผักกาดจะออกไปดูบนฟ้าว่าเป็นอย่างไร” ผักกาดนึก
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ผักกาดรอเวลานี้มานาน แล้วผักกาดก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แสงระยิบระยับเท่ากับวันก่อนไหมนะ” ผักกาดนึกในใจ
ผักกาดมองไปยังท้องฟ้าอยู่นาน แต่คำถามก็เต็มไปหมด ผักกาดไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบนนั้น ผักกาดจึงเดินกลับเข้าบ้านไป
เช้าวันต่อมา ผักกาดตื่นแต่เช้ามารอพบเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่เขาไม่พบใครเลยมีเพียงหน้าบ้านที่ว่างเปล่าเท่านั้น แม่ของผักกาดยกข้าวมาพยายามจะให้ผักกาดกินให้หมด แต่ผักกาดก็ไม่ได้กินจนหมดหรอก ผักกาดเดินไปเดินมาสลับกับนั่งๆนอนๆในบ้านเช่าของผักกาด จนผักกาดลืมเด็กหญิงหน้าบ้านไปแล้ว
วันเวลาผ่านไปๆ จนวันที่พวกเขาจะออกจากบ้านหลังนี้มาถึง เช้านี้พ่อผักกาดมาปลุกผักกาดแต่เช้า พาผักกาดไปนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกหน้าบ้าน แม่ของผักกาดกำลังง่วนอยู่กับข้าวของ
ผักกาดไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วพ่อของผักกาดก็เดินมาหา พ่อให้ผักกาดเดินตามไปหน้าบ้าน ทันใดนั้นเด็กหญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยก็ยืนอยู่ด้านหน้าบ้าน พิมนั่นเอง พิมยิ้มและพูดกับผักกาดว่า
“ผักกาดจะไปอยู่ที่อื่นแล้วเหรอ”
“ไม่รู้สิ” ผักกาดตอบ
“เราจะไม่ได้เจอกันแล้วสินะ” พิมพูด
“เธอจะมาคุยกับเราอีกไหม” ผักกาดถาม
“ไม่รู้สิ แล้วคงเจอกันนะ” พิมตอบ
ทั้งสองคุยได้ไม่นาน พ่อของผักกาดก็เดินเข้ามา พ่อผักกาดอุ้มผักกาดขึ้นแล้วพาเดินเข้าไปในบ้าน พิมยืนมองดูผักกาด ขณะที่ผักกาดก็หันหน้ามองพิมอยู่อย่างนั้น ทั้งสองมองหน้ากันจนผักกาดเข้าไปในบ้าน แล้วพิมก็จากไป
สายวันนั้นเองผักกาดก็ขึ้นรถพร้อมครอบครัวเดินทางออกจากบ้านเช่าหลังนั้นไม่หวนกลับไปอีกเลย และผักกาดก็ไม่เคยได้เจอและคุยกับพิมอีกนานเท่านาน
15 ปีผ่านไปที่เมืองหนึ่งในต่างจังหวัด ผักกาดเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว ที่นี่ผักกาดมีเพชรและพลอยเป็นเพื่อน เพชรเป็นนักเรียนดีเด่นเขาเรียนได้คะแนนอันดับหนึ่งของชั้นและชื่นชอบอวกาศเช่นเดียวกับผักกาด ขณะที่พลอยสอบโควตาได้แล้ว ทั้งสามต่างชอบแลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศมาก
วันหนึ่งทั้งสามกำลังสนทนาเกี่ยวกับอวกาศเช่นเดิม
“เพชรกับพลอยรู้ไหมจักรวาลเรามันมีลักษณะแบนนะ” ผักกาดเปิดประเด็น
“ไม่รู้เลยเพื่อน” พลอยพูด
“เราได้ยินมาว่า ปัจจุบันนี้เราวัดเส้นคอสมิคสามเส้นและพบว่ามุมภายในเกือบเป็น 180 องศาเลย มีความเบี่ยงเบนเพียง 0.4%” เพชรเสริม
ระหว่างที่การสนทนากำลังดำเนินไปอย่างน่าสนใจ จู่ๆเสียงของเพื่อนอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ผักกาดกำลังคุยเรื่องอะไรเหรอ”
“อวกาศไงล่ะ”
“ฟังดูเวิ้งว้าง และมืดมิดจังเลยอ่ะ” เพื่อนตอบ
ผักกาดนิ่งเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนที่เพื่อนคนเดิมจะพูดต่อ
“ขอโทษนะ เราคงไม่เข้าใจอ่ะ ไว้ผักกาดเล่าให้เราฟังใหม่นะ” เพื่อนคนนั้นกล่าวก่อนจะบอกลาแล้วเดินจากไป
พลอยสังเกตเห็นผักกาดนิ่งไป จึงพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรนะผักกาด ทำไมเงียบล่ะ”
“เปล่า เรากำลังสงสัยว่าความฝันของเราจะเป็นจริงไหม” ผักกาดตอบ
“โธ่ ไม่นะแค่ได้ฟังเธอพูดเรื่องอวกาศ เราก็ได้ความรู้มากเกินคุ้มละ” พลอยพูด
“แค่เราได้มาคุยกัน มันก็คุ้มค่าพอแล้วล่ะผักกาด” เพชรกล่าวเสริม
ผักกาดมีความฝันที่จะส่งอุปกรณ์สื่อสารขึ้นไปบนอวกาศเพื่อทดสอบการสำรวจอวกาศ
เช้าวันต่อมา พลอยเดินมาหาผักกาดแล้วบอกผักกาดว่า
“ผักกาด เราเห็นบริษัทที่เราสามารถส่งสิ่งของขึ้นไปบนอวกาศในอินเตอร์เน็ทด้วยล่ะ”
“ความฝันของผักกาดจะเป็นจริงแล้วสินะ” พลอยพูด
เพชรยืนอยู่และฟังทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เสียงกริ่งเรียนดังขึ้น และทุกคนก็พากันเข้าห้องเรียน
“พวกผักกาด คุยกันเรื่องอะไรอีกแล้ว พวกเราฟังไม่เข้าใจเลย” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งทักขึ้น
“ผักกาด ถ้าผักกาดขึ้นไปบนอวกาศได้จริงๆ มันจะดีอย่างไรเหรอ” เพื่อนอีกคนถาม
“มันต้องดีสิ ทรัพยากรในอวกาศมีมากมาย เราสามารถนำมาแจกจ่ายให้ทุกคน ทุกคนสามารถเข้าถึงอวกาศทั้งหมดเลย” ผักกาดกล่าว
“ฟังดูดีจัง เหมือนความฝันเลย” เพื่อนอีกคนพูด
เย็นวันนั้นเอง ผักกาด เพชรและพลอยต่างพากันไปที่บ้านของผักกาด พลอยเปิดเว็บไซท์ของบริษัทที่รับส่งสิ่งของไปอวกาศให้เพื่อนดู กำหนดการเที่ยวต่อไปมีขึ้นในอีก 6 เดือน
“ผักกาดเราส่งป้ายไฟขึ้นไปดีไหม” เพชรเสนอ
“ดีสิ” ผักกาดตอบ
“เราหาอุปกรณ์แล้วประกอบเข้าไปในกล่องสักอัน ผักกาดหากล่องมานะ แล้วอาทิตย์หน้าเราจะส่งไปรษณีย์ไปที่ต่างประเทศกัน” พลอยพูด
“ตกลงจ๊ะ” ผักกาดรับคำ
จนถึงคืนก่อนวันที่นัดไว้ ผักกาดไปพบกล่องที่เหมาะสมในอินเตอร์เน็ท มันเป็นกล่องที่พิมพ์แบบสามมิติโดยมีพื้นที่ให้ใส่อุปกรณ์ ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่กล่องนี้มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผักกาดไม่รอช้าโทรหาเพชรและพลอยให้มาพบที่บ้านผักกาด ไม่นานเพชรและพลอยก็เดินทางมาถึง
“ได้กล่องแล้วใช่ไหมผักกาด เราเตรียมอุปกรณ์มาเรียบร้อยแล้ว” พลอยบอก
“กล่องจะมาถึงตอนบ่ายจ๊ะ” ผักกาดพูด
“โอเค งั้นเรามาตรวจสอบชิ้นส่วนต่างๆรอ” เพชรเสนอ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่ายของวัน พัสดุก็เดินทางมาถึงบ้านผักกาดอย่างตรงเวลา ทั้งสามกุลีกุจอกันแกะพัสดุออกอย่างรวดเร็ว
“ว้าว กล่องนี้มันเป็นรูปช้างด้วย” เพชรพูดขึ้น
“เท่ห์ระเบิดเลย” พลอยกล่าว
“นี่จะเป็นตัวแทนของคนไทยทุกคน” ผักกาดกล่าว
“ดีจัง” พลอยพูด
“พรุ่งนี้เราจะส่งมันไปที่ต่างประเทศแล้วรออีก 6 เดือนที่เว็บไซท์จะออกอากาศการส่งพัสดุไปบนอวกาศกัน” เพชรพูด
วันต่อมาทั้งสามพากันเดินทางไปที่ไปรษณีย์ก่อนเข้าเรียน พวกเขาจ่าหน้าซองและส่งพัสดุ 25 วันต่อมา บริษัทที่ต่างประเทศก็ยืนยันที่หน้าเว็บไซท์ว่าได้รับพัสดุที่พวกผักกาดส่งมาทั้งสามต่างเฝ้ารอถึงวันถ่ายทอดการส่งพัสดุของพวกเขาขึ้นไปบนอวกาศ
เวลาเกือบหกเดือนที่ทุกคนรอคอยช่างมีชีวิตชีวา พวกผักกาดต่างตื่นเต้นกับการเฝ้ารอกำหนดการส่งพัสดุไปยังบนอวกาศ
เมื่อวันกำหนดการมาถึง ภาพถ่ายทอดสดก็ออกอากาศไปทั่วโลก
เสียงพลังขับดันของเครื่องขับดันจรวดที่นำพัสดุพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จรวดลำเล็กลงเล็กลง จนภาพถ่ายทอสดตัดกลับมาเป็นภาพภายในที่บรรจุเจ้าช้างของผักกาดและเพื่อน สองสามชั่วโมงที่พวกเขาเฝ้ารอ ภาพถ่ายทอดสดก็ประกาศว่าพวกเรามาถึงวงโคจรที่กำหนดแล้ว พวกผักกาดดีใจกันมาก ต่างกระโจนกอดกัน และผู้ประกาศก็กล่าวว่า
“นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่พวกเราชาวมนุษยชาติจะได้เข้าถึงความก้าวหน้าทางอวกาศอย่างพร้อมเพรียง อวกาศจะเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง พวกเราขอส่งข้อความยินดีกับทุกท่าน”
สิ้นสุดเสียงประกาศ ภาพก็ตัดมายังกล้องนอกยานอวกาศที่ส่องออกไปกว้างใหญ่ไพศาล และวันนี้ช้างของผักกาดกับเพื่อนก็มาถึงอวกาศแล้ว ทุกคนที่ชมการถ่ายทอดคงเห็นข้อความบนป้ายไฟของพวกเขา
ป้ายที่เขียนเป็นภาษาไทยว่า
“เรามาถึงแล้ว คงได้พบกันอีก”